เทคโนโลยีเมนบอร์ด


               


   เทคโนโลยีเมนบอร์ด


เมนบอร์ดคืออะไร

เมนบอร์ด คือแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีส่วนสำคัญมากของคอมพิวเตอร์ เป็นแผงวงจรหลักที่คอยสั่งการให้อุปกรณ์ต่างๆที่มีการเชื่อมต่อทำงานตามคำสั่ง ซึ่งเมนบอร์ดนั้นจะเป็นแผงวงจรที่รวมเอาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ไว้ด้วยกัน อาทิ ซ็อกเก็ตสำหรับใส่ ซีพียู (CPU) และหน่วยความจำหลักและหน่วยความจำถาวร มีไบออสเป็นเฟิร์มแวร์ พร้อมช่องให้สามารถเสียบอุปกรณ์ เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมอื่นๆ โดยสามารถเชื่อมต่อได้ทั้งอุปกรณ์ภายในและอุปกรณ์เชื่อมต่อภายนอก

 ประเภทต่างๆของเมนบอร์ด

1.XL-ATX เป็น Mainboard ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดา Mainboard ATX ทั้ง 5 ประเภท เนื่องจากมีการติดตั้งชุดอุปกรณ์มาให้จำนวนมาก เช่น พอร์ต SATA และสล็อตการ์ดจอที่มากกว่า Mainboard ทั่วๆไป รองรับการเพิ่มอุปกรณ์ในอนาคตได้เป็นอย่างดี เช่น หากเป็นเมนบอร์ด WorkStation ก็จะรองรับการติดตั้ง CPU ถึง 2 ตัวเนื่องจากมันมีพื้นที่เพียงพอในการติดตั้งอุปกรณ์ลงไป แน่นอนว่าต้องรองรับการใช้งานอย่างเต็มรูปแบบมากกว่า Mainboard ทุกชนิด โดยส่วนใหญ่แล้ว Mainboard ขนาด XL-ATX จะมีขนาดที่ประมาณ 345mm x 263mm ยกตัวอย่างเช่น MSI Z87 XPower 
 
2.Extended ATX (E-ATX) มีขนาดเล็กกว่า XL-ATX อยู่พอสมควร ซึ่งจริงๆแล้ว Mainboard ขนาด E-ATX เพิ่งถูกผลิตเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจาก Mainboard บางรุ่นไม่สามารถติดตั้งอุปกรณ์ลงไปได้เพียงพอ จึงได้มีการขยายความกว้างของตัว Mainboard จากขนาด ATX ออกไปเล็กน้อยในขณะที่ยังคงมีความยาวเท่ากับขนาด ATX โดยส่วนใหญ่แล้ว E-ATX จะมาในขนาด 305mm x 270mm ยกตัวอย่างเช่น ASUS Maximus V Extreme

3. ATX เรียกได้ว่าเป็นเมนบอร์ดขนาดมาตรฐานที่ทางผู้ผลิตนิยมใช้กันมากที่สุดใน ปัจจุบัน เนื่องจากเป็นขนาดที่พอเหมาะที่สุดในการติดตั้งชุดอุปกรณ์ลงไป ส่วนใหญ่มักจะเป็น Mainboard ตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงระดับสูง นอกจากทางผู้ผลิตจะมีการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมสำหรับ Mainboard ระดับ high-end บางรุ่นก็จะข้ามไปใช้ขนาด E-ATX แทน เรียกได้ว่า ATX นั้นรองรับการติดตั้งในเคสทั่วๆไปได้ทั้งหมด ด้านขนาดจะอยู่ที่ประมาณ 305mm x 244mm ที่จะสั้นกว่าขนาด E-ATX อยู่เล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่น SuperMicro C7Z87-OCE

4.Micro-ATX ลดขนาดลงจากขนาด ATX พอสมควร ซึ่งทางผู้ผลิตมักจะเลือกใช้ Mainboard ขนาดนี้สำหรับ Mainboard ระดับกลางถึงระดับล่าง เช่น กลุ่มคอมพิวเตอร์สำนักงาน, กลุ่ม HTPC ขนาดเล็ก แต่ก็มีบางรุ่นที่มีสเปคระดับ high-end เพียงแต่ย่อขนาดให้อยู่ในรูปแบบ Micro-ATX เท่านั้น โดยจะมีขนาดที่ประมาณ 244mm x 244mm ยกตัวอย่างเช่น ASRock Z87M OC Formula

5. Mini-ITX เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทางผู้ผลิต Mainboard ผลิตออกมาเพื่อใช้ประกอบคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ซึ่งในอดีต Mainboard ขนาด Mini-ITX จะเป็นเพียงชุดคอมพิวเตอร์ประหยัดพลังงาน ไม่ได้เน้นด้านประสิทธิภาพ ติดตั้งชุดอุปกรณ์ได้น้อยชิ้นเนื่องจากขนาดที่จำกัดเพียง 170mm x 170mm แต่ปัจจุบันหลายๆแบรนด์ก็มีการพัฒนาในเรื่องประสิทธิภาพการทำงานเอาใจกลุ่ม นักเล่นเกมหรือนักโอเวอร์คล็อกมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ASUS Maximus VI Impact





ภาพที่ 1 แสดงเมนบอร์ดต่างๆ

 


6. BTX
เมนบอร์ดแบบ BTX (Balanced Technology Extended) เป็นรูปแบบของเมนบอร์ด มาตรฐานที่ได้รับการพัฒนาของอินเทล ซึ่งเมนบอร์ดแบบ BTX จะประกอบด้วย Socket T หน่วยความจำ DDR II และสล็อตแบบ PCI Express โดยตั้งใจให้ออกมาแทนสล็อตแบบ PCI และ AGP ซึ่งเมนบอร์ดนี้จะมีอัตราการรับส่งข้อมูลที่สูงถึง 250 MB/s ในแบบทิศทางเดียวและ 500MB/s ในแบบสองทิศทาง

 


 
ภาพที่ 2 แสดงเมนบอร์ด BTX



ส่วนประกอบของเมนบอร์ด

ATX Power Connector : ขั้วต่อสายไฟจากพาวเวอร์ซัพพลายเข้ากับเมนบอร์ด ซึ่งเป็นขั้วต่อแบบ ATX โดยที่พาวเวอร์ซัพพลาย จะมีสายไฟหนึ่งชุดเอาไว้ต่อเข้ากับเมนบอร์ด และด้านหนึ่งของขั้วต่อจะมีสลักล็อกสายไฟ ป้องกันไม่ให้สายไฟ หลุดจากเมนบอร์ดได้ง่าย

BIOS (Basic Input Output ) : เป็น CHIP IC ชนิดหนึ่งที่อยู่บนเมนบอร์ด ภายในจะมีโปรแกรมที่ใช้ตรวจสอบค้นหาอุปกรณ์ประเภทฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอม ดิสก์ไดร์ฟ ที่ติดตั้งเข้าไป ทุกครั้งที่เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์โปรแกรมที่อยู่ในไบออส จะเริ่มตรวจสอบการทำงานของ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เช่น การทำงานของเมนบอร์ด ฮาร์ดดิสก์ แรม การ์ดจอ คีย์บอร์ด ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า Power on Self Test (Post) ในกรณีที่มีอุปกรณ์เสียหรือผิดปกติก็จะรายงานให้ทราบ นอกจากนี้ไบออสยังมีคำสั่งสั่งให้เครื่อง คอมพิวเตอร์บูตเข้าสู่วินโดวส์ หรือระบบปฏิบัติการอื่น ที่ติดตั้งเอาไว้ด้วย ในรูปนี้เป็นไบออสของ AMI ซึ่งไบออสมีหลายยี่ห้อด้วยกัน เช่น AWARD, PHEONIX, COMPAQ, IBM ซึ่งจะมี ความแตกต่างกันบ้างในเรื่องของวิธีการเข้าไปตั้งค่าการทำงานของไบออส รวมทั้งรูปแบบเมนูของไบออส ส่วนเมนบอร์ด ที่ใช้จะมีไบออสยี่ห้อไหน และตำแหน่งติดตั้งอยู่ที่ไหนสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากคู่มือของ เมนบอร์ด

CMOS Battery : แบตเตอรี่เบอร์ CR2032 เป็นแบตเตอรี่ที่จ่ายกระแสไฟให้กับ CMOS เพื่อเก็บข้อมูลในไบออส เช่น ฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอม วันเวลา ถ้าหากแบตเตอรี่หมดอายุจะทำให้ข้อมูลในไบออสหายไป ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถตรวจสอบ ได้ว่ามีฮาร์ดดิสก์ มีซีดีรอมต่อพ่วงอยู่หรือเปล่า ทำให้คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานได้ แบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานประมาณสองหรือสามปี หากต้องการเปลี่ยนก็หาซื้อได้ตามร้านนาฬิกาหรือร้านถ่ายรูป

CPU Socket : ใช้สำหรับติดตั้งซีพียูเข้ากับเมนบอร์ด เมนบอร์ดที่ใช้กับซีพียูของอินเทลคือ Pentium 4 และ Celeron จะเรียกซ็อคเก็ตว่า SOCKET 478 ส่วนเมนบอร์ดสำหรับซีพียู AMD นั้นจะมีซ็อคเก็ตแบบ SOCKET 462 หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า SOCKET A จุดสังเกตว่าเมนบอร์ดเป็นซ็อคเก็ตแบบใดนั้นก็ดูจากชื่อที่พิมพ์ไว้บน ซ็อคเก็ต ส่วนความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งก็คือรอยมาร์ค ที่มุมของซ็อคเก็ต ถ้าเป็นซ็อคเก็น 478 จะมีรอยมาร์คอยู่ที่มุมหนึ่งด้าน ส่วนซ็อคเก็ต 462 จะมีรอยมาร์คที่มุมสองด้าน โดยรอยมาร์คจะตรงกับตำแหน่งของซีพียู เพื่อให้คุณติดตั้งซีพียูเข้ากับซ็อคเก็ตได้อย่างถูกต้อง

Floppy Disk Connector : คอนเน็คเตอร์สำหรับต่อสายแพเข้ากับ Disk Drive ซึ่งเมนบอร์ดจะมีคอนเน็คเตอร์ไว้ให้หนึ่งช่อง ซึ่งก็เพียงพอต่อการ ใช้งาน เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะติดตั้งดิสก์ไดร์ฟเพียงแค่หนึ่งไดร์ฟ เท่านั้น จุดสังเกตก็คือจะมีข้อความว่า FLOPPY หรือเมนบอร์ดบางรุ่นจะเป็นตัวย่อว่า FDD พิมพ์กำกับอยู่ ส่วนที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือที่ช่องคอนเน็คเตอร์จะมี Pin หรือเข็มอยู่ 33 อัน โดยด้านหนึ่งจะมีคำว่า PIN 1 พิมพ์กำกับอยู่ด้วย เมื่อต้องการต่อสายแพเข้ากับคอนเน็คเตอร์ จะต้องเอาด้านที่มีสีแดงหรือสีน้ำเงินมาไว้ที่ตำแหน่ง PIN 1

IDE Connector : เป็นคอนเน็คเตอร์ที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อสายแพกับฮาร์ดดิสก์แบบ IDE รวมถึงอุปกรณ์จำพวกไดร์ฟอ่านเขียนข้อมูล เช่น ซีดีรอม ดีวีดี ซิฟไดร์ฟ โดยเมนบอร์ดจะมีคอนเน็คเตอร์ IDE อยู่สองชุดด้วยกัน เรียกว่า IDE 1 กับ IDE 2 แต่ละคอนเน็คเตอร์ จะรองรับอุปกรณ์ได้สองชิ้น ซึ่งหมายถึงว่าคุณจะต่อฮาร์ดดิสก์รวมทั้งซีดีรอมได้สูงสุดแค่สี่ชิ้น ซึ่งอาจจะเป็นฮาร์ดิสก์ สองตัวกับไดร์ฟ CD-RW และไดร์ฟ DVD อีกอย่างละหนึ่ง เช่นเดียวกันกับ FDD Connector ก็คือจะมีตัวอักษรพิมพ์กำกับว่าด้านใดคือ PIN 1 เพื่อให้ต่อสายแพเข้าไปอย่างถูกต้อง แต่ IDE Connector จะมีจำนวนพินมากกว่าคือ 39 พิน 

 
PCI Slots (Peripherals component interconnect) : สล็อตพีซีไอ เป็นช่องที่เอาไว้สำหรับติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม เช่น ติดตั้งการ์ด SCSI การ์ดเสียง การ์ดเน็ตเวิร์ค โมเด็มแบบ Internal เมนบอร์ดโดยส่วนใหญ่จะมีสล็อตพีซีไอเป็นสีขาวครีม แต่ก็มีเมนบอร์ดรุ่นใหม่บางรุ่นที่เพิ่มสล็อตพีซีไอ โดยใช้สีแตกต่าง เช่น สีน้ำเงิน เพื่อใช้ติดตั้งการ์ดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ สล็อตแบบพีซีไอนั้นถูกออกแบบมาแทนสล็อตแบบ VL ซึ่งทำงานได้ช้า การติดตั้งอุปกรณ์ทำได้ยาก เนื่องจากต้องเซ็ตจัมเปอร์ แต่พีซีไอนั้นจะเป็นระบบ Plug and Play ที่ติดตั้งอุปกรณ์ได้ง่ายกว่า อุปกรณ์บางอย่าง เช่น การ์ดเสียง เมื่อติดตั้งแล้วโอเอส จะรู้จักทันทีหรือเพียงแค่ลงไดรเวอร์เพิ่มเติมเท่านั้น อนึ่งสล็อตแบบพีซีไอนั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า PCI Bus ซึ่งก็หมายถึง เส้นทางที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลระหว่างเมนบอร์ดกับอุปกรณ์ต่อพ่วง โดยบัสแบบจะทำงานในระบบ 32 บิต

RAM Sockets : เป็นช่องที่ใช้สำหรับติดตั้งแรมเข้าไป เมนบอร์ดแต่ละรุ่นจะมีช่องสำหรับติดตั้งแรมไม่เท่ากัน บางรุ่นอาจจะมีแค่สอง บางรุ่นมีสาม บางรุ่นมีสี่ จำนวนช่องถ้ามีเยอะก็จะทำให้คุณเพิ่มแรมได้มากขึ้น ซ็อคเก็ตที่ใช้ติดตั้งแรมยังแบ่งออกไปตามชนิดของแรมด้วย ถ้าเป็นเมนบอร์ดที่ใช้แรมแบบ DDR จะมีรอยมาร์ค อยู่ตรงกลางหนึ่งช่อง ซึ่งจะตรงกับตำแหน่งรอยมาร์คที่แรม 

 
System Panel Connector : สิ่งที่คุณจะสังเกตุเห็นก็คือกลุ่มเข็มที่โผล่ออกมาเหมือนเสาเข็ม สำหรับ System Panel นั้นเป็นจุดที่ใช้ต่อสายสวิทช์ ปิดเปิดเครื่อง (Power Switch) สายไฟปุ่มรีเซ็ท (Reset Switch) ไฟแสดงการทำงานของฮาร์ดดิสก์ (HDD LED) ลำโพงภายในตัวเครื่อง (Speaker) และสวิทช์ล็อกการทำงานของคีย์บอร์ด (Keyboard Lock) โดยสวิทช์หรือ หลายไฟเหล่านี้จะติดอยู่กับเคสเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าคุณไม่ต่อสายไฟจากเคสเข้ากับ System Panel สวิทช์เปิดเครื่อง หรือไฟแสดงการทำงานของฮาร์ดดิสก์ก็จะไม่ติด

PS/2 Mouse, PS/2 Keyboard Port : เป็นพอร์ต์ที่ใช้สำหรับต่อสายเม้าส์กับสายคีย์บอร์ดเข้ากับเครื่อง คอมพิวเตอร์ โดยเรียกว่าพีเอสทูเม้าส์หรือพีเอสทูคีย์บอร์ด ซึ่งพอร์ตจะมีรูกลมหกรู แล้วก็รูสี่เหลี่ยมหนึ่งรู ซึ่งปลายสายคีย์บอร์ดหรือเม้าส์ก็จะมีเข็มที่ตรงกับตำแหน่งของรูที่พอร์ต ด้วย การเสียบสายเม้าส์และคีย์บอร์ดเข้าไป ต้องระวังให้เข็มตรงกับรู สำหรับพอร์ตเม้าส์และคีย์บอร์ดนั้นจะใช้ Color Key แสดงเอาไว้ สีเขียวคือต่อสายเม้าส์ ส่วนสีน้ำเงินต่อสายคีย์บอร์ด นอกจากนี้ยังมีจุดสังเกตุอีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อประกอบเมนบอร์ดเข้ากับเคส ที่เคสจะมีสัญลักษณ์รูปเม้าส์กับรูปคีย์บอร์ด ติดอยู่ เพื่อให้ต่อสายเม้าส์และคีย์บอร์ดได้ถูกต้อง


USB Port (Universal Serial Bus) : พอร์ตสำหรับต่อพ่วงกับอุปกรณ์ที่มีพอร์ตแบบยูเอสบี เช่น พรินเตอร์ สแกนเนอร์ กล้องดิจิตอล ซีดีรอมไดร์ฟ ซิพไดร์ฟ เป็นต้น เมนบอร์ดรุ่นใหม่จะมีพอร์ตยูเอสบีเพิ่มมาอีกเรียกว่าพอร์ต USB 2.0 ซึ่งรับส่งข้อมูลได้เร็วกว่าเดิม เมื่อคุณต้องซื้ออุปกรณ์ต่อพ่วง ควรตรวจสอบด้วยว่าอุปกรณ์นั้นเชื่อมต่อกับพอร์ตยูเอสบีรุ่นเก่า หรือว่าต้องใช้ร่วมกับพอร์ต ยูเอสบี 2.0 เพื่อความมั่นใจว่าอุปกรณ์ที่ซื้อมานั้นจะทำงานได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ

Parallel Port : พอร์ตพาราเรล เป็นพอร์ตแบบตัวเมียมีรู 25 รู สำหรับต่อสายพรินเตอร์หรือสแกนเนอร์ที่มีพอร์ตแบบพาราเรล ซึ่งส่วนใหญ่ จะใช้ต่อกับเครื่องพรินเตอร์มากกว่า ซึ่งบางคนจะเรียกว่าพรินเตอร์พอร์ต โดยส่วนใหญ่พอร์ตพาราเรลจะมีกับเครื่อง พรินเตอร์รุ่นเก่า หรือในเครื่องพรินเตอร์ระดับกลางๆ ขึ้นไป

Serial Port : พอร์ตแบบตัวผู้ที่มีขาสัญญาณอยู่ 9 ขา เรียกว่าคอมพอร์ต (COM Port) เป็นพอร์ตที่ใช้สำหรับต่อโมเด็ม เม้าส์ หรือจอยสติ๊ก ปัจจุบันอุปกรณ์ที่ใช้พอร์ตนี้แทบไม่มีให้เห็น เนื่องจากหันไปใช้พอร์ตแบบ USB เป็นส่วนใหญ่

Video Port : พอร์ตสำหรับต่อสายสัญญาณภาพ กับจอคอมพิวเตอร์ ลักษณะของพอร์ตจะเป็นพอร์ตแบบตัวเมียมีรู 15 รู สำหรับพอร์ตนี้ จะมีอยู่เฉพาะในเมนบอร์ดรุ่นที่รวมเอาการ์ดแสดงผลเข้าไปกับเมนบอร์ดด้วย (VGA Onboard) 

 
IEEE1394 Port : เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า FireWire (บริษัทโซนี่เรียกว่า I-Link) เป็นพอร์ตที่ใช้สำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วงอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งก็มีในเมนบอร์ดบางรุ่น พอร์ตนี้จะใช้สำหรับต่อพ่วงกับ สแกนเนอร์ กล้องดิจิตอลระดับไฮเอนด์ กล้องดิจิตอลวิดีโอ ฮาร์ดดิสก์ที่มีพอร์ตแบบ Firewire โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้ต่อกับ กล้องดิจิตอลวิดีโอ เนื่องจากการที่ สามารถควบคุมการทำงานของกล้องผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง
 


Line in / Line out / Microphone Jack : สำหรับเมนบอร์ดรุ่นใหม่ ซาวน์ดการ์ดจะถูกรวมเข้าไปกับเมนบอร์ดด้วย ที่เรียกกันว่า Sound on Board จุดสังเกตก็คือที่เมนบอร์ดจะมีช่องสำหรับต่อไมโครโฟน ลำโพง แล้วก็เครื่องเล่นเทป ทำให้ไม่ต้องซื้อซาวน์ดการ์ดเพิ่ม อย่างไรก็ดีถ้าคุณต้องการคุณภาพเสียงที่ดีกว่า หรือต้องการใช้เครื่องคอมกับการทำดนตรี หรืองานตัดต่อวิดีโอ



   ภาพที่ 3 แสดงส่วนประกอบต่างๆของเมนบอร์ด




การอ่านสเปกเมนบอร์ด

เป็นอุปกรณ์ที่เป็นเหมือนหัวใจสำคัญในการจัดการกับระบบต่างๆ รวมถึงเชื่อมโยงอุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ซีพียู แรม กราฟิกการ์ด ฮาร์ดไดรฟ์ พอร์ตและคอมโทรลเลอร์อื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งก็มีให้เลือกใช้งานด้วยกันหลายรูปแบบ ตั้งแต่ Mini-iTX, mATX, ATX ขึ้นอยู่กับว่าต้องการใช้งานในรูปแบบใดเป็นหลัก แต่สิ่งสำคัญในการเลือกใช้ก็คือ ต้องเลือกให้ตรงกับการใช้งานของซีพียู ซึ่งสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ก็คือ ซ็อกเก็ตและชิปเซ็ต

เมนบอร์ดจากค่าย Intel
ในปัจจุบันมีซ็อกเก็ตเพียง
3 รูปแบบหลัก ประกอบด้วย LGA1150, LGA1150 และ LGA2011 ซึ่งออกมาเพื่อรองรับซีพียูในรุ่นต่างๆ กันไป


LGA1155
เป็นซ็อกเก็ตสำหรับการใช้งานร่วมกับซีพียูเดสก์ทอป Intel ที่เป็น Core i3, Core i5 และ Core i7 ภายใต้สถาปัตยกรรม SandyBridge และ IvyBridge ในรุ่นที่เป็น Gen 3 โดยใช้งานร่วมกับชิปเซ็ตในตระกูล P6x, H6x และ Z7x

LGA1150
เป็นซ็อกเก็ตใหม่ล่าสุด ที่ออกมารองรับการทำงานร่วมกับซีพียู Intel Core i3, Core i5 และ Core i7 ในสถาปัตยกรรม Haswell หรือ Core i Processor Gen 4 นั่นเอง โดยทำงานร่วมกับชิปเซ็ต B8x, H8x และ Z8x ซึ่งเวลานี้มีชิปเซ็ต H97 และ Z97 รุ่นใหม่ให้ใช้งานกันแล้ว

LGA2011
เป็นซ็อกเก็ตสำหรับซีพียูในระดับไฮเอนด์ ร่วมกับซีพียู Core i7 ในสถาปัตยกรรม SandyBridge และ IvyBridge ซึ่งเป็นซีพียู Core Processor Gen 3 โดยทำงานร่วมกับชิปเซ็ต X79 และล่าสุดกับชิปเซ็ต X99 ที่มาพร้อมการทำงานร่วมกับแรม DDR4

เมนบอร์ดจากค่าย AMD

 
ในเวลานี้มีอยู่ด้วยกัน
2 รูปแบบคือ FM และ AM3+ เป็นหลัก สำหรับการทำงานร่วมกับซีพียูในรุ่นต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย A-series และ FX-series


FM1 และ FM2
เป็นซ็อกเก็ตที่ใช้ร่วมกับซีพียู AMD A-series โดยที่ FM1 นั้นจะทำงานร่วมกับ A-series ในรุ่นแรกบนชิปเซ็ต A75 และ A55 ส่วนซ็อกเก็ตแบบ FM2 นั้น จะรองรับซีพียู A-series ในรุ่นที่ 2 ซึ่งทำงานร่วมกับชิปเซ็ต A85 และ A75

AM3+
เป็นซ็อกเก็ตที่ใช้ร่วมกับซีพียู AMD FX-series รองรับซีพียูในรุ่น FX-4xxx, FX-6xxx และ FX-8xxx โดยมีชิปเซ็ต AMD 970, 990X และ 990FX
ความแตกต่างของชิปเซ็ต
970, 990X และ 990FX หลักๆ อยู่ที่การสนับสนุนระบบ Multi-GPU และการรองรับ PCI-Express รวมถึงระบบ Hyper Transport ซึ่งแน่นอนว่า 990FX และ 990X เป็นรุ่นที่มีออพชันต่างๆ ที่พร้อมสำหรับการใช้งานอย่างครบครัน โดยใน AMD 970 นั้นจะเป็นรุ่นประหยัด ที่ถูกตัดความสามารถบางส่วนลง






  
ภาพที่ 4 แสดงช่องใส่ซีพียู




RAM Slot : การสนับสนุน RAM ทั้งในเรื่องความจุและความเร็วบัส โดยพื้นฐานจะรองรับการทำงานของ DDR3 ตามมาตรฐานและรองรับหน่วยความจำได้ 4 สล็อต แต่สิ่งที่ผู้ใช้ต้องสังเกตก็คือ ความจุสูงสุดที่สามารถติดตั้งได้บนสล็อต รวมถึงการสนับสนุนความเร็วบัส แม้ว่าเมนบอร์ดในปัจจุบันอาจจะรองรับแรมความเร็วมาตรฐานอย่างเช่น DDR3 1333/ 1600 แต่ก็มีเมนบอร์ดบางรุ่นที่รองรับการเพิ่มความเร็วขึ้นไปถึง DDR3 1866 หรือ 2133 โดยผ่านการปรับแต่งเล็กน้อย แต่ก็สามารถใช้งานได้ทันที ซึ่งหากผู้ใช้เองต้องการความเร็วในการทำงานร่วมกับแรมความเร็วสูงที่มีอยู่ ก็อาจจะต้องเลือกเมนบอร์ดที่รองรับความเร็วดังกล่าวนี้ด้วย เช่นเดียวกับแรมในรุ่นล่าสุดที่ออกมาเพื่อการทำงานร่วมกับซีพียู Intel Core i7 Gen 5 ไม่ว่าจะเป็น Intel Core i7 5960X, Core i7 5930K และ Core i7 5820K ด้วยมาตรฐาน DDR4 2133MHz ซึ่งทำให้แบนด์วิทธ์สูงสุดในการทำงาน

PCI-Express slot : เป็นรูปแบบการเชื่อมต่อการ์ดต่างๆ ในปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ร่วมกับกราฟิกการ์ดและ Expansion Cars ในลักษณะของการ์ดที่ใช้ในการเพิ่มเติมฟังก์ชันการทำงาน อย่างเช่น RAID card หรือ Editing card เป็นต้น ที่ปรากฏบนเมนบอร์ดในเวลานี้ มีตั้งแต่ PCI-Express x1, x4 และ x16 โดยที่ PCI-Express x16 นั้นจะใช้ร่วมกับกราฟิกการ์ดเป็นหลัก สิ่งที่ผู้ใช้ควรต้องสังเกตคือ หากต้องการใช้งานกราฟิกการ์ดในแบบ CrossFire หรือ SLI ก็ต้องดูจำนวนสล็อต PCI-Express x16 บนเมนบอร์ด ให้มีมากกว่า 2 สล็อตขึ้นไป เมนบอร์ดบางรุ่นมีให้ถึง 6 สล็อต แต่ก็ขึ้นอยู่กับชิปเซตที่ติดตั้งมาบนเมนบอร์ดด้วยก็ตาม รองรับการทำงานหรือไม่ โดยที่อัตราแบนด์วิทธ์ของ PCI-Express นี้ จะมีความเร็วขึ้นอยู่กับเวอร์ชัน

SATA port : สำหรับพอร์ต SATA นี้ เป็นพอร์ตที่ใช้สำหรับต่อพ่วงกับฮาร์ดไดรฟ์และออพติคอลไดรฟ์เป็นหลัก จากเดิมที่ใช้บนมาตรฐาน SATA1 ที่มีอัตราการรับ-ส่งข้อมูลที่ 150MB/s มาถึงวันนี้ก้าวสู่มาตรฐาน SATA3 ที่ให้แบนด์วิทธ์สูงถึง 600MB/s สิ่งที่ผู้ใช้ต้องให้ความสำคัญก็คือ จำนวนที่ต้องเพียงพอต่อการใช้งานหรือเผื่อสำหรับการอัพเกรดในอนาคตได้ เมนบอร์บางรุ่นอาจมีมาให้ 6 พอร์ต แต่บางรุ่นอาจให้ถึง 8-10 พอร์ต ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าต้องการใช้งานสำหรับต่อพ่วงอุปกรณ์มากน้อยเพียงใด นอกจากนี้หากต้องการใช้งานต่อพ่วงผ่านระบบ RAID ก็ควรจะต้องเลือกชิปเซตที่สนับสนุน RAID ตามที่จะใช้งาน ซึ่งโดยส่วนใหญ่ชิปเซ็ตที่มีให้ในปัจจุบัน ก็จะรองรับการทำ RAID 0, 1, 0+1, 5 ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้งานกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว






ภาพที่ 5 แสดงพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ



Port connector : เป็นเรื่องของพอร์ตต่อพ่วงอุปกรณ์ด้านหลังเครื่อง ถือเป็นส่วนที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน ผู้ใช้ควรจะต้องพิจารณาตามความเหมาะสม เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้งาน เพราะโอกาสที่จะเพิ่มเติมเหมือนกับส่วนอื่นๆ เป็นไปได้ยาก นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันบางอย่างที่ค่อนข้างมีความสำคัญ หากต้องการใช้แบบใด ก็ควรจัดหามาให้ครบ โดยที่เราสามารถแบ่งพอร์ตต่างๆ ออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ

Connector : ส่วนของพอร์ตต่อพ่วงอุปกรณ์ อย่างเช่น USB, e-SATA, FireWire, LAN หรือ PS/2 ซึ่งหากใช้พอร์ตใดบ่อยหรือมีอุปกรณ์ต่อพ่วงจำนวนมาก อย่างเช่น USB ก็ต้องดูด้วยว่ามี USB 3.0 กี่พอร์ตหรือ 2.0 เท่าใด รวมถึงพอร์ตอื่นๆ จำเป็นต้องใช้หรือไม่ ควรดูให้ละเอียดถี่ถ้วน

Sound : ส่วนของระบบเสียง พอร์ตสำหรับระบบเสียงพื้นฐาน ก็จะประกอบด้วย Line-In, Line-Out, Rear, Microphone รวมถึงพอร์ต Optical ที่เป็นแบบสัญญาณดิจิตอล แต่เมนบอร์ดบางรุ่นอาจจะมาพร้อม Sound Card แยกส่วนออกมาติดตั้งเฉพาะ ซึ่งให้คุณภาพเสียงที่ดีตามชิปสังเคราะห์ที่มีมาด้วยเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ชอบเรื่องของเสียง 

Display : ส่วนของพอร์ตการแสดงผล ในปัจจุบันจะประกอบด้วยพอร์ต HDMI เป็นหลัก ซึ่งจะยังมีบางรุ่นที่ใส่แบบ D-Sub หรือ DVI มาด้วย เนื่องจากซีพียูหลายรุ่นมาพร้อมกับกราฟิกออนซีพียู ดังนั้นแล้วในกรณีที่ต้องการใช้กราฟิกดังกล่าว ก็ต้องเลือกเมนบอร์ดที่มีพอร์ตสำหรับการแสดงผลมาให้ด้วย แต่ประเด็นสำคัญก็คือ เลือกให้ตรงกับการแสดงผลของผู้ใช้เองด้วย ว่าใช้กับพาแนลแบบใด ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องหาอุปกรณ์ที่เป็นตัวแปลงมาใช้แทน


 
เทคโนโลยีของเมนบอร์ดในปี 2016


เทคโนโลยีพอร์ต Thunderbolt

Dual Port Thunderbolt™ Motherboards
เมนบอร์ด GIGABYTE 7 series จะมาพร้อมกับ dual on board Thunderbolt™ ports สำหรับช่วยเสริมประสิทธิภาพในการโอนถ่ายข้อมูลร่วมกับอุปกรณ์ความเร็วสูงที่ ต้องการสมรรถนะที่มากยิ่งขึ้น เหนือชั้นด้วยความสามารถในการโอนถ่ายข้อมูลขนาด 1TB ในระยะเวลาเพียงห้านาที และรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้มากถึง 12 ตัว พร้อมสนับสนุนการแสดงผลในระบบดิจิตอลได้มากถึง 3 มอนิเตอร์, ซึ่งด้วยประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมของเมนบอร์ด GIGABYTE Thunderbolt™ นี้ จะช่วยทำให้การเชื่อมต่อและการส่งต่อข้อมูลร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เดสก์ท็อปพีซีมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
เมนบอร์ด GIGABYTE Thunderbolt™ จะอนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้มากถึง 12 ตัวพร้อมกันนั้นก็ยังสามารถส่งผ่านข้อมูลที่มีความกว้างของสัญญาณในระดับ 10Gbps ซึ่งรวมถึง PCIe และ DisplayPort เมนบอร์ด GIGABYTE Thunderbolt™ นับเป็นนวัตกรรมใหม่ในการกำหนดแนวของเครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปที่ง่ายต่อ เชื่อมต่ออุปกรณ์สตอเรจ และหน้าจอความละเอียดสูง โฉมใหม่ของเทคโนโลยีที่สามารถส่งผ่านข้อมูลด้วยความเร็วที่เหนือกว่าอุปกรณ์ ใดๆ ที่เคยพบเห็น






ภาพที่ 6 แสดงพอร์ต Thunderbolt



 
เทคโนโลยี 5-Way Optimization


เทคโนโลยี 5-Way Optimization นั้นจะเป็นฟีเจอร์ที่สร้างความสะดวกสบายในการโอเวอร์คล๊อกสำหรับผู้ที่ เริ่มต้นหรือยังไม่มีความรู้มากมายนัก ด้วยวิธีง่ายๆเพียงคลิ๊กเดียว เมนบอร์ดก็จะจัดการกับ 5 ฟังก์ชันหลักๆให้เราอย่างอัตโนมติได้แก่ การเพิ่มความเร็ว CPU, จัดการระบบเน็ตเวิร์ค ระบบเสียง (Turbo App) และเพิ่มความเร็วรอบพัดลมพร้อมทั้งวิเคราะห์การปรับความเร็วรอบของพัดลมให้ เหมาะสมกับภาวะนั้นๆ (Fan Xpert 3), ประมวลผลวิเคราะห์หาความเร็วซีพียูที่ที่สูงที่สุดและมีเสถียรภาพ ที่สุด(TPU) พร้อมทั้งจัดการเรื่องการจ่ายพลังงานให้เหมาะสมกับความเร็วที่ได้ทำการ โอเวอร์คล๊อกให้ (DIGI+ Power) และสุดท้ายจัดการปิดฟีเจอร์บางอย่างที่ไม่จำเป็นเพื่อการประหยัดพลังงาน (EPU)






ภาพที่ 7 แสดง เทคโนโลยี 5-Way Optimization

 
เทคโนโลยี Fan Xpert 3

เทคโนโลยี Fan Xpert 3 นั้นจะมีอยู่สองส่วนด้วยกันคือ ส่วนของการควบคุมการทำงาน โดยตัวเมนบอร์ดหรือตัวพินสำหรับเสียบพัดลมบนเมนบอร์ดนั้น จะสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวมันเองว่า พัดลมที่เราเสียบใช้งานนั้นเป็นแบบ PWM หรือ DC Fan ทั้งนี้ก็เพราะว่าทาง ASUS จะเลือกใช้ขั้วต่อพัดลมในแบบ 4 pin ทั้งหมดแต่มันก็สามารถรองรับการทำงานหรือการควบคุมได้ทั้งพัดลมในแบบ PWM/DC ได้ในขั้วเดียวกัน ส่วนของเล่นชิ้นใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือ Fan Extension Card หรือพูดง่ายๆว่าเป็นขั้วต่อพัดลมฮับ (Fan HUB) ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มจำนวนการเชื่อมต่อพัดลมที่มากขึ้น โดยเฉพาะกับผู้ที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ โดยเจ้า Fan HUB ตัวนี้จะมีช่องจ่ายไฟเลี้ยง
ต่างหากโดยตรงจาก PSU และมันจะยังคงทำงานร่วมกับตัวเมนบอร์ดที่ BIOS นั้นจะยังสามารถควบคุมการทำงานได้เหมือนๆกับขั้วต่อพัดลมบนเมนบอร์ด






ภาพที่ 8 แสดงเทคโนโลยี Fan Xpert 3






อ้างอิง


http://www.เกร็ดความรู้.net/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94/ 

https://papraew.wordpress.com/2013/09/26/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97/


http://www.thebestgarciniacambogiaextractstore.com/2015/03/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B9%86-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94/

http://www.devasnatural.com/article/view.php?id=141

http://www.itemxp.net/webboard/viewtopic.php?t=10496

http://th.gigabyte.com/microsite/306/images/thunderbolt.html

http://notebookspec.com/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2013/189835/



เรียบเรียงโดย
นาย ธเนศ นวลอยู่
นาย นพดล แจ้งพรมอินทร์ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น